All about MELASMA :: ความคล้ำบนใบหน้าที่ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการ

ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ง่ายและพบได้บ่อยในคนทั่วไป โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งฝ้าจะส่งผลให้เกิดรอยด่างดำหรือรอยคล้ำบนผิวหน้า ซึ่งอาจทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ และลดความมั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็เป็นเรื่องที่หลายคนกังวลและอยากจะหาวิธีดูแลหรือรักษาเพื่อให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียน กระจ่างใสจากการเป็นฝ้าอีกครั้ง

 

Key Takeaways

  • ฝ้า คือ ผิวที่มีลักษณะเป็นจุดหรือรอยด่างที่มีสีเข้มคล้ำกว่าผิวหนังปกติ ซึ่งมักพบได้บนผิวหนังที่มักต้องเจอกับแสงแดด เช่น ใบหน้า 
  • ฝ้าเป็นกระบวนการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีขึ้นมาปกป้องผิวมากเกินไปและไม่สม่ำเสมอจนเห็นเป็นรอยด่างดำขึ้นได้
  • ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า จะมีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลของแสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม อายุ และสารเคมี
  • การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้หัตถการทางการแพทย์ การใช้ครีมและยาในการบำรุงรักษาหรือการใช้วิธีทางธรรมชาติในการฟื้นฟูผิว

ฝ้าคืออะไร?

ฝ้า (Melasma) คือ ผิวที่มีลักษณะเป็นจุดด่างดำ หรือรอยด่างที่มีสีเข้มกว่าผิวหนังปกติ โดยอาจจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้มหรือดำก็ได้ ซึ่งการเป็นฝ้าก็มักพบในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด เช่น ใบหน้า หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก ริมฝีปากส่วนบน และคาง จนทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ส่งผลให้เสียความมั่นใจในการโชว์ใบหน้าของตัวเอง

ฝ้า (Melasma) คืออาการทางผิวหนังที่มีลักษณะเป็นรอยด่างสีน้ำตาลบริเวณผิวหนังจากการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีออกมามากเกินไป ซึ่งสาเหตุนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่ที่พบมักเกิดจากรังสียูวี (UV) และการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเพศหญิงบางชนิด

ฝ้าเป็นอาการที่พบได้บ่อย และมักเกิดกับผู้ที่มีผิวคล้ำหรือผู้หญิงในช่วงวัย 20–40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ฝ้าไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกายนอกจากความสวยงาม และความมั่นใจของผู้ป่วย

อาการของฝ้า

โดยปกติแล้ว ฝ้ามักเกิดบนบริเวณใบหน้า โดยจะขึ้นทั้งฝั่งซ้ายและขวาในขนาดที่เท่า ๆ กัน ซึ่งบริเวณที่พบได้บ่อยคือ หน้าผาก แก้ม ดั้งจมูก คาง และร่องริมฝีปากบน แต่บริเวณอื่นของร่างกายที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ อย่างแขนหรือลำคอก็สามารถเกิดฝ้าได้เช่นกัน    

นอกจากนี้ ฝ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่

  • ฝ้าในชั้นหนังกำพร้า (Epidermal Melasma) มีลักษณะเป็นรอยด่างสีน้ำตาลเข้ม สามารถเห็นขอบได้ชัดเจน และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
  • ฝ้าในชั้นหนังแท้ (Dermal Melasma) มีลักษณะเป็นรอยด่างสีน้ำตาลอ่อน ขอบรอบฝ้าไม่ชัดเจน และมักไม่ตอบสนองต่อการรักษา
  • ฝ้าผสม (Mixed Melasma) มีลักษณะของฝ้าทั้ง 2 ชนิดผสมกัน ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และตอบสนองต่อการรักษาในบางบริเวณเท่านั้น

ถึงแม้ฝ้าจะไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่มะเร็งผิวหนังบางชนิดมีอาการทับซ้อนหรือลักษณะคล้ายคลึงกับฝ้า ดังนั้น ควรไปพบแพทย์หากพบรอยด่างสีน้ำตาลบนผิวหนัง เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

 

สาเหตุของฝ้าคืออะไร?

สาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดฝ้ามาจากการกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากอันตรายต่าง ๆ แต่เมื่อเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ทำงานผิดปกติ เช่น ผลิตเมลานินมากเกินไปหรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ก็จะส่งผลให้เกิดรอยดำหรือรอยด่างบนผิวหนังเป็น ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำขึ้นมาได้

สาเหตุของฝ้า 

สาเหตุการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ปัจจัยหลัก ๆ ที่มักพบ ได้แก่

  • รังสียูวี การรับรังสียูวีจากแสงแดดเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ขึ้นมาที่ชั้นผิวหนังมากขึ้น และทำให้ผิวเกิดรอยคล้ำตามมา
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีการสันนิษฐานว่าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากมักพบการเกิดฝ้าในผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเหล่านี้สูงกว่าปกติ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้สูงขึ้น ได้แก่ การรับประทานยาคุมกำเนิด การให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) หรือการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2–3
  • พันธุกรรม เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากที่มีประวัติการเกิดฝ้าในครอบครัว เช่น การเกิดฝ้าในคู่แฝด
  • การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ยากันชัก (Anticonvulsant) ยาปฏิชีวนะบางชนิด กลุ่มยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาขับปัสสาวะ (Diuretics Drugs) เรตินอยด์ (Retinoid) กลุ่มยาลดน้ำตาลในเลือด (Hypoglycaemics) ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) และยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)
  • ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism)
  • สารหอมระเหยบางชนิดจากเครื่องสำอางหรือสบู่
  • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเครียด แสง LED หรือเตียงอบผิวแทน

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้ามีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าก็จะมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง ได้แก่

  • แสงแดด : รังสี UVA และ UVB จากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผิวเจอกับแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดฝ้าให้มากขึ้น
  • อายุ : เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการฟื้นฟูผิวและความสมดุลของการผลิตเม็ดสีก็จะลดลง ทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ในช่วงตั้งครรภ์, การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน, การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสังเคราะห์ (เช่น Diethylstilbestrol) ในการรักษาบางโรค อย่าง มะเร็งต่อมลูกหมาก, และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเสริมก็มีโอกาสเกิดฝ้าเพิ่มขึ้นได้
  • พันธุกรรม : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า โอกาสที่จะเป็นฝ้าก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย โดยประมาณ 33-50% ของผู้ที่เป็นฝ้าพบว่ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้า 
  • การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม : เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดปฏิกิริยาไวแสง (phototoxic reaction) ซึ่งอาจกระตุ้นให้ฝ้ารุนแรงขึ้น

การวินิจฉัยฝ้า

ในเบื้องต้น แพทย์จะวินิจฉัยรอยฝ้าบนผิวหนังได้ด้วยตาเปล่า แต่การวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุอาจต้องใช้วิธีตรวจเพิ่มเติม โดยการใช้แสงอัลตราไวโอเลต (Wood Lamp Examination) ในการตรวจความลึกของฝ้า และการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราบนผิวหนัง นอกจากนี้ แพทย์อาจติดตามผลการรักษาด้วยการประเมินลักษณะของฝ้าโดยใช้เกณฑ์ Melasma Area and Severity Index หรือ MASI

สำหรับผู้ป่วยบางคน แพทย์อาจตรวจต่อมไทรอยด์ร่วมด้วย เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์จะส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดฝ้า หรือในกรณีที่รอยด่างสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงินเทาบนผิวหนังของผู้ป่วยอาจไม่ใช่อาการของฝ้า แพทย์อาจใช้วิธีการตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจ (Biopsy) เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคที่อาจคล้ายคลึงกับฝ้า เช่น กระจากแดด (Solar Lentigo) ไลเคน พลานัส (Lichen Planus) กระลึก (Nevus of Hori) หรือปานโอตะ (Nevus of Ota)

ฝ้ามีกี่ชนิด? แตกต่างกันอย่างไร?

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่โดยทั่วไปปกติแล้วจะไม่จำเป็นต้องแบ่งประเภทฝ้าให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่บางครั้งก็นิยมพูดถึงฝ้าโดยแบ่งชนิดตามสาเหตุการเกิดและลักษณะฝ้าต่าง ๆ ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าและแนวทางการรักษาฝ้าได้มากขึ้น โดยลักษณะของฝ้าแต่ละชนิดก็จะสามารถแบ่งได้ ดังนี้

ชนิดของฝ้า ตามสาเหตุการเกิดของฝ้า

  • ฝ้าฮอร์โมน : เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ฝ้าฮอร์โมนมีแนวโน้มเกิดได้ง่ายในเพศหญิง เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมีผลกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี
  • ฝ้าแดด : เป็นฝ้าที่เกิดจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินมากเกินไป ฝ้าชนิดนี้มักพบในบริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น ใบหน้า

ชนิดของฝ้า ลักษณะตามความลึกของฝ้า

  • ฝ้าตื้น (Epidermal type) : หรือฝ้าทั่วไป เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มถึงเทาดำ ขอบเขตของฝ้าชัดเจน การรักษาฝ้าตื้นทำได้ง่ายกว่า โดยใช้ยาทาหรือครีมกันแดด
  • ฝ้าลึก (Dermal type) : เกิดในชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีอ่อนกว่า เช่น น้ำตาลอ่อน เทา หรือเทาอมฟ้า ขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจนและมักกลืนไปกับผิว ฝ้าชนิดนี้รักษาได้ยากและอาจไม่หายขาด
  • ฝ้าผสม (Mixed type) : เป็นการรวมลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกเข้าด้วยกัน โดยฝ้าบริเวณกลางมักมีสีเข้ม ส่วนขอบจะจางกว่า ฝ้าผสมเป็นชนิดของฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด และต้องใช้วิธีการรักษาหลายรูปแบบร่วมกัน

 

วิธีการรักษาฝ้ามีอะไรบ้าง?

ในปัจจุบันวิธีการรักษาฝ้าก็จะมีอยู่หลายรูปแบบให้ได้เลือกใช้ โดยการรักษาแต่ละแบบก็จะมีรายละเอียดอย่างค่าใช้จ่าย ระยะเวลาการรักษา และความเหมาะสมต่อฝ้าแต่ละประเภทแตกต่างกันไป

การรักษาฝ้า

ฝ้าบางประเภทอาจค่อย ๆ จางหายไปเอง โดยเฉพาะฝ้าที่เกิดจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาบางชนิด แต่ฝ้าบางประเภทอาจใช้ระยะเวลาในการรักษาหลายปีหรืออาจไม่ตอบสนองต่อการรักษา ทั้งนี้แพทย์อาจใช้หลายวิธีร่วมกันในการรักษาฝ้า โดยจะพิจารณาตามสาเหตุและชนิดของฝ้าเป็นหลัก อีกทั้งผู้ป่วยแต่ละคนจะตอบสนองต่อการรักษาต่างกัน  

รักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์

การรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์เป็นวิธีที่ให้ผลได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ก็มักมีค่าใช้จ่ายที่สูงด้วย ดังนั้นการทำหัตถการแต่ละครั้งจึงต้องได้รับการวินิจฉัยปัญหาและประเภทของฝ้าเป็นอย่างดี เพื่อที่จะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างตรงจุด

 

  • เลเซอร์รักษาฝ้า : การรักษาด้วยเลเซอร์ฝ้าเป็นการยิงพลังงานแสงเพื่อกำจัดเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน เช่น Q-Switched หรือ Picosecond Laser ซึ่งเหมาะสำหรับฝ้าลึกและฝ้าผสม
  • IPL (Intense Pulsed Light) : ใช้แสงความเข้มสูงช่วยลดเม็ดสีและทำให้ผิวหน้าสว่างใสขึ้น
  • Chemical Peeling : การลอกผิวด้วยกรด เช่น AHA หรือ TCA เพื่อลดฝ้าตื้นและผลัดเซลล์ผิว
  • Microneedling : การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมยาทา

    การรักษาด้วยการเลเซอร์หรือผลัดเซลล์ผิว

    ในกรณีที่ใช้ยาเฉพาะที่แล้วไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แพทย์อาจใช้การเลเซอร์หรือผลัดเซลล์ผิวเพื่อรักษาฝ้าแทน ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพของการรักษายังขึ้นอยู่กับแต่ละคน

    • การขจัดผิวหนังชั้นนอกออกด้วยสารเคมี (Chemical Peel) โดยการใช้กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha–hydroxy Acids: AHA) หรือกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta–hydroxy Acids: BHA) ขจัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกออก
    • การขัดผิวหนังชั้นบนออกด้วยการศัลยกรรมขัดผิวหนัง (Dermabrasion) โดยการใช้อุปกรณ์ที่มีแปรงหรือวงล้อขัดไปที่ผิวหนังชั้นนอก
    • การกรอผิวด้วยผงผลึกแร่ (Microdermabrasion) โดยการพ่นผลึกคริสตัลไปที่ผิวหนังเพื่อขจัดผิวหนังชั้นบนออก ซึ่งผิวของผู้ป่วยอาจมีการอักเสบหรือบวมเล็กน้อยหลังทำการรักษา
    • การทำ Microneedle ไอพีแอล (Intense Pulsed Light: IPL) และเลเซอร์รักษา โดยแพทย์จะใช้วิธีเลเซอร์รักษาหลังจากที่ใช้วิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล ซึ่งการรักษาอาจใช้ระยะเวลานานและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะการเลเซอร์มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงให้อาการแย่ลงได้ โดยเลเซอร์ที่มักใช้ในการรักษา เช่น Q–Switched Nd:YAG และ Picosecond Laser

รักษาด้วยยาและครีมทาผิว

การรักษาฝ้าด้วยยาหรือครีมทาผิวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและมีค่าใช้จ่ายปานกลาง โดยครีมทาฝ้าที่ปลอดภัยควรมีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ เช่น 

  • Hydroquinone
  • Tranexamic acid
  • Kojic acid
  • Vitamin C
  • Thiamidol : เป็นสารไบรท์เทนนิ่งที่ช่วยลดฝ้าแดด กระแดด และจุดด่างดำ โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวหน้าดูเนียนใส สม่ำเสมอกัน
  • Alpha Arbutin : ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้าจางลง
  • Glycolic Acid (AHA) : เป็นกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและเปิดที่ว่างให้เห็นผิวใหม่
  • Tretinoin : เป็นกรดวิตามินเอที่เร่งการลอกเซลล์ผิวและลดจุดด่างดำที่เกิดจากฝ้า แต่อาจทำให้เกิดรอยแดงหรืออาการผิวลอกได้
  • Vitamin E : ช่วยลดการอักเสบของผิวและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

ในขณะเดียวกันการใช้ยารักษาฝ้าอย่างปลอดภัยก็ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าจำเป็นต้องใช้สารต่อไปนี้ในการรักษา

  • สเตียรอยด์ : สเตียรอยด์สามารถทำให้ผิวบางลงหรือมีผลข้างเคียงเฉพาะที่แบบอื่นๆได้
  • ไฮโดรควิโนน : ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่มักใช้ในการรักษาฝ้า แต่บางคนอาจเจอผลข้างเคียง เช่น อาการระคายเคืองและอาการผิวไวต่อแสงแดด หรือรอยดำชนิดอื่น

    การใช้ยา

    แพทย์อาจให้ใช้ยาทาชนิดครีม โลชั่น หรือเจลที่มีส่วนผสมในการยับยั้งเอนไซม์ไทโซซิเนส (Tyrosinase) ที่เป็นตัวการในการสร้างเม็ดสีเมลานิน โดยสารที่ได้ผลค่อนข้างดีในการรักษาฝ้า ได้แก่ สารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สารเตรทติโนอิน (Tretinoin) และยาสเตียรอยด์สำหรับใช้ภายนอกที่มีความแรงปานกลาง 

    นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้สารตัวอื่น ๆ ในการรักษาร่วมด้วย เช่น กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) กรดโคจิก (Kojic Acid) ซีสทีอามีน (Cysteamine) ยาสเตียรอยด์ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เมไทมาโซล (Methimazole) กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid) กลูตาไธโอน (Glutathione) และสารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean Extract) เป็นต้น 

    นอกเหนือจากยาใช้เฉพาะที่ แพทย์อาจจ่ายยาชนิดรับประทานในผู้ป่วยบางราย อย่างยาเมไทมาโซล (Methimazole) หรือกรดทรานเอกซามิก 


รักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ

วิธีรักษาฝ้า กระ ให้หายขาดแบบธรรมชาติเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับประเภทของฝ้าที่ไม่หนักมาก หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย วิธีนี้มักต้องการการดูแลต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางหลักฐานงานวิจัย ตัวอย่างของวัตถุดิบธรรมชาติที่มีผู้แนะนำว่าสามารถนำมาใช้ดูแลปัญหาฝ้าได้ มีดังนี้

  • ขมิ้นชัน : มีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้สีผิวดูกระจ่างขึ้น วิธีใช้คือ ผสมผงขมิ้นกับนมสดในอัตราส่วน 1:2 จากนั้นทาลงบนผิวบริเวณที่มีปัญหา รอจนแห้งสนิท แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำเป็นประจำทุกวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • มะนาว : เป็นหนึ่งในตัวช่วยยอดนิยมในการบำรุงผิว และยังมีคุณสมบัติในการฟอกสีผิวตามธรรมชาติ เพียงบีบน้ำมะนาวและทาลงบนบริเวณฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้วันละสองครั้ง จะเริ่มเห็นผลในประมาณ 3 สัปดาห์
  • มะละกอ : มะละกอดิบและสุกมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่ช่วยลดเลือนฝ้าได้ดี ให้นำมะละกอมาบดผสมกับน้ำผึ้ง ทาเป็นมาส์กบนผิวบริเวณที่มีปัญหา ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกัน 2-3 เดือน
  • ว่านหางจระเข้ : เป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้ว่านสดจากต้นจะได้ผลดีที่สุด ให้นำเจลจากว่านหางจระเข้มานวดลงบนผิวประมาณ 2 นาที ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้ง
  • น้ำหัวหอม : เป็นวิธีธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า เนื่องจากมีสารซัลฟอกไซด์และเซเพนส์ (Sulfoxides and Cepaenes) ช่วยลดรอยคล้ำและจุดด่างดำ วิธีใช้คือนำหัวหอมบดผสมกับน้ำส้มสายชูแอปเปิล ใช้สำลีแต้มลงบนผิว ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
  • แตงกวา : มีปริมาณน้ำสูงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดความเข้มของเม็ดสี เพียงขูดเนื้อแตงกวาและทาลงบนบริเวณฝ้า ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำทุกวัน
  • น้ำส้มสายชูแอปเปิล : มีคุณสมบัติช่วยทำให้สีผิวดูสว่างขึ้น เพียงแต้มลงบนบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติก็มีความเสี่ยงต่อการระคายหรือแพ้ได้เช่นกัน ควรสังเกตอาการหากมีผลข้างเคียงเช่นแสบคัน หรือแห้งแดง ระคาย

อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาที่กล่าวมาอาจไม่รักษาฝ้าให้หายไปทั้งหมดหรือไม่สามารถป้องกันการเกิดซ้ำของฝ้าได้  แพทย์จึงจะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะทำให้อาการแย่ลงร่วมด้วย เช่น การโดนแสงแดด การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ การใช้ยาคุมกำเนิดที่ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น เป็นต้น 

นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรักษาในระหว่างนี้ เพราะการรักษาอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตต่อทารกหรือเด็กในครรภ์ได้

ภาวะแทรกซ้อนของฝ้า

โดยปกติแล้วการเกิดฝ้าไม่ได้ส่งผลเสียหรืออันตรายใด ๆ ต่อร่างกายนอกจากความสวยงามและความมั่นใจของผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยอาจเกิดอาการแทรกซ้อนจากการรักษาได้ เช่น ผิวหนังอักเสบจากการแพ้ยาไฮโดรควิโนน ยาเตรทติโนอิน และกรดอะซีลาอิค หรือผิวหนังชั้นบนถูกทำร้ายจากการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีจนเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำ เป็นต้น

แนวทางป้องกันไม่ให้ผิวเป็นฝ้า

การป้องกันฝ้าถือเป็นวิธีที่สำคัญในการดูแลผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากพันธุกรรม ฮอร์โมน และการสัมผัสแสงแดด สามารถทำตามแนวทางดังนี้

  • ปกป้องผิวจากแสงแดด : หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วงเวลาที่รังสี UV สูงอย่างช่วง 10.00-16.00 น. และควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF และค่า PA สูง อย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสมสารกันแดด : สำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดรอยดำจากฝ้า สามารถเลือกใช้รองพื้นหรือแป้งที่มีสารกันแดด อย่าง Iron Oxide ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเม็ดสีและป้องกันการกระตุ้นฝ้าไปพร้อมกับการปกปิดรอยฝ้าด้วย
  • หลีกเลี่ยงฮอร์โมนหรือยาที่กระตุ้นการเกิดฝ้า : ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดหรือยาฮอร์โมนบำบัดอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยากลุ่มนี้หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าอยู่แล้ว หรือสังเกตได้ว่ามักเป็นฝ้าหลังจากใช้ยา
  • รักษาผิวให้แข็งแรง : การบำรุงผิวด้วยครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือไนอะซินาไมด์ จะช่วยลดการอักเสบและปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก

การดูแลผิวเป็นประจำและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือไวต่อแสงแดด

การป้องกันฝ้า

เนื่องจากฝ้าบางชนิดเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างพันธุกรรมหรือภาวะการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นการป้องกันจึงอาจทำได้ยาก แต่การหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตนเองจากปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะแสงแดดก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าได้ เช่น เลือกสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายได้มิดชิด หรือหมั่นทาครีมกันแดด โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับการใช้งาน และมีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) และไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) นอกจากนี้ การรับวิตามินดีให้เพียงพอ เช่น จากแสงแดดในช่วงเช้า หรืออาหารเสริมสำหรับผู้ที่ขาดวิตามินดีก็สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าได้เช่นกัน

ปัญหาฝ้าแก้ไม่ยาก หากรักษาอย่างถูกต้อง!

ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการสัมผัสแสงแดดและแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ซึ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินในชั้นผิวผลิตมากเกินไปจนเกิดรอยด่างดำ แม้การป้องกันฝ้าอาจทำได้ยากในบางกรณี แต่มีวิธีลดโอกาสการเกิดฝ้าและควบคุมไม่ให้รอยดำลุกลาม เช่น การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด ใช้ครีมบำรุงที่เหมาะสม รวมถึงการรักษาด้วยหัตถการหรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการเกิดของฝ้าใหม่ให้น้อยลงได้

สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านปัญหาฝ้าและผิวพรรณอื่น ๆที่REDERMi Clinics ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การประเมินปัญหา การจ่ายยาที่เหมาะสม ไปจนถึงการติดตามผลการรักษา สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้ทุกที่ ทุกเวลา

error: REDERMi Clinics © All rights reserved !!